ในการบริจาคนั้น เราสามารถที่จะทำการบริจาคเลือดได้ทุก ๆ 3 เดือน ไม่ควรบริจาคก่อนครบกำหนด เพราะจะทำให้ร่างกายขาดเหล็ก อาจทำให้เกิดภาวะเลือดจาง

คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือด

- สามารถบริจาคได้ทั้งชาย และหญิง ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

- อายุ 17 - 60 ปี

- ต้องมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม ขึ้นไป

- ฮีโมโกลบินของเพศหญิงสูงกว่า 80% เพศชายกว่า 90% ของคนปกติ

- ความดันโลหิต ซีสโตริกไม่ต่ำกว่า 100 มม.ปรอท

- ต้องไม่มีประวัติเป็นผู้เสพยาเสพติด (ชนิดฉีด)

- ต้องไม่เป็นโรคเอดส์, โรคไวรัสตับอักเสบ บี และซี

- ต้องไม่เป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเอดส์

- ต้องไม่มีประวัติเป็นมาเลเรียภายใน 3 ปี

- ต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่เป็นโรคหัวใจ โรคปอด โรคไต และโรคติดต่ออื่น ๆ

ข้อควรปฏิบัติ ก่อนการบริจาคเลือด

- ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง

- ไม่ควรอยู่ระหว่างรับประทานยา ประเภทปฏิชีวนะ และฉีดยา

- สตรีต้องไม่อยู่ในระหว่างมีรอบเดือน

- ควรรับประทานอาหารมาให้เรียบร้อย ก่อนมาบริจาคเลือด แต่อาหารนั้นไม่ควรมีไขมันมาก

    ขั้นตอนในการบริจาคเลือด
ขั้นตอนที่ 1 

สำหรับผู้บริจาคเลือดครั้งแรก

เขียนใบสมัครบริจาคเลือด กรอกข้อความ ตามแบบใบสมัครให้ชัดเจน เช่น ชื่อ - นามสกุล, วัน เดือน ปี เกิด สถานที่ทำงาน, สถานศึกษา, ที่อยู่ที่บ้าน เป็นต้น

กรอกข้อความตามแบบสอบ-ถาม ลงในใบสมัครตามความเป็นจริง           

สำหรับผู้บริจาคเดิม ให้ยื่นบัตรประจำตัวผู้บริจาคเลือดกับเจ้าหน้าที่ได้ทันที

ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบความเข็มข้นของเลือด
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจร่างกายโดยแพทย์ และให้ความเห็นว่ามีสุขภาพแข็งแรง พร้อมสำหรับการบริจาคเลือด
ขั้นตอนที่ 4 บริจาคเลือด โดยพยาบาลจะทำหน้าที่เจาะเก็บเลือด การเจาะเลือดจะฉีดยาชาบริเวณผิวหนังที่เจาะเลือดก่อนทำการเจาะเก็บเลือด และอุปกรณ์ในการเจาะเก็บเลือดเป็นของใหม่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว และจะใช้เพียงครั้งเดียว แล้วทิ้งไม่นำมาใช้อีก
ขั้นตอนที่ 5 พร้อมบริจาคเลือด จะมีการกินอาหารว่างพร้อมเครื่องดื่ม และทำแผลบริเวณเจาะเลือด

    ข้อความปฏิบัติหลังการรับบริจาคโลหิต 

ควรนอนพักบนเตียงสักครู ห้ามลุกจากเตียงทันทีเพราะอาจทำให้เวียนศีรษะเป็นลมได้  ควรรับประทานอาหารว่าง และเครื่องดื่มที่จัดเตรียมไว้ รับบริการทำแผลบริเวณเจาะเก็บเลือด หากมีอาการวิงเวียนศีรษะ หรือรู้สึกจะเป็นลม ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หรือนอนลง เพื่อป้องกันการล้มศีรษะฟาดพื้น